ความน่าสนใจที่ว่า มันคือการเปลี่ยนผู้จัดการทีมของ ‘ยุงทอง’ ที่ตัดสินใจไล่ ฆาบี กราเซีย ออกไป ทั้งๆที่เพิ่งมาคุมทีมได้ไม่นานเท่าไร และก็นำโค้ชประสบการณ์สูงอย่าง แซม อัลลาไดซ์ เข้ามาแทน

นี่คือคนที่ทำให้ทีมเล็กๆอย่าง โบลตัน ในช่วงปี 2000 สู้กับทีมใหญ่ได้อย่างสนุกสูสี เป็นคนที่ทำแต่ทีมขนาดไม่ใหญ่มาก จนได้ก้าวขึ้นไปคุมทีมชาติอังกฤษ (แม้จะได้คุมแค่นัดเดียวก็ตาม) คนที่ไม่เคยพาทีมตกชั้นมาก่อน จนกระทั่งทำ เวสบรอมวิช ร่วงไป แชมเปี้ยนชิพ ซึ่งเป็นการคุมทีมครั้งสุดท้ายเมื่อเกือบๆ 2 ปีก่อน จนกระทั่งมารับงานในครั้งนี้

แค่การแถลงข่าวเปิดตัวของกุนซือวัย 68 ปี ก็สนุกแล้วครับ แกพูดไว้ว่า “ถึงผมจะแก่ แต่ก็ไม่มีใครเหนือไปกว่าผมในเรื่องฟุตบอล ไม่ว่าจะ เป๊ป, คล็อปป์ หรือ อาร์เตต้า”

ฮั่นแน่! ถามว่าจะเถียงได้ไหม ในแง่ประสบการณ์ เถียงไม่ได้หรอกครับ เพราะแกคุมทีมครั้งแรกก็ตอนที่ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ยังไม่ได้เป็นนักเตะชุดใหญ่ของ บาร์เซโลน่า เลยด้วยซ้ำ แต่ในแง่ของความทันยุคทันสมัย แกจะตามฟุตบอลยุคนี้ทันรึเปล่าเท่านั้นเอง

เพราะการคุมทีมครั้งสุดท้ายของเจ้าตัว ก็เหมือนที่บอกไปข้างบน คือเกือบๆ 2 ปีก่อน แถมยังทำทีมตกชั้นไปอีกด้วย

แน่นอนว่า ‘เรือใบสีฟ้า’ ก็คงไม่ชอบใจนัก ที่จู่ๆมาเปลี่ยนตัวเฮดโค้ชก่อนเกมที่จะต้องเจอกับพวกเขา แต่จะกระทบกับแผนการเล่นของพวกเขารึเปล่า ก็คงจะไม่ เพราะไม่ว่าจะเป็นทีมไหนที่ต้องมาเจอกับ ซิตี้ ในชั่วโมงนี้ ก็คงทำได้แต่เอามือกุมหัว ภาวนาให้โดนยิงน้อยที่สุด

การแข่งขันในนัดนี้ ถ้าจะให้เปรียบเป็นการเจอกันของ ‘ฟุตบอลที่ล้ำหน้าเกินยุคสมัย’ กับ ‘ฟุตบอลสไตล์โบราณ’ ผมก็คงจะไม่กล้าพูดอย่างนั้น เพราะเราก็ไม่รู้ว่าช่วงที่ บิ๊กแซม หายหน้าไปจากข้างสนาม แกไปอัปเดทแพทช์ใหม่มาบ้างรึเปล่า

แต่เชื่อว่าการแข่งขันในนัดนี้ ก็คงไม่ยากเกินมือ แมนฯ ซิตี้ ที่กำลังขับเคี่ยวลุ้นแชมป์อยู่กับ อาร์เซนอล และเพื่อที่จะฉีกให้ห่างออกไปเป็น 4 คะแนน พวกเขาก็คงจะต้องเน้นกันอย่างเต็มที่ เว้นเสียแต่จะเจอ ‘อาถรรพ์บอลเปลี่ยนโค้ช’ เท่านั้นแหละครับ

เขียนโดย The Lite Team.